ขั้นตอนการผลิตกระดาษ เป็นกระบวนการของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่,โรงงานขนาดกลางและโรงงานขนาดเล็ก ที่น้อยคนจะรู้ว่ากว่าจะมาเป็นกระดาษต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง กระดาษมีบทบาทสำคัญกับเราหลายประการ อาทิ การนำไปจดบันทึก สร้างบรรจุภัณฑ์ และใช้เช็ดทำความสะอาด วันนี้เรามาดูกันสิ่งที่สำคัญที่ต้องใช้ในกระบวนการผลิตจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน โดยเรียงลำดับตามขึ้นตอนการปฏิบัติการจริงภายในโรงงานได้ดังนี้
- การทำเยื่อกระดาษ
- การเตรียมน้ำเยื่อ
- การทำให้เป็นแผ่นกระดาษ
- การตกแต่งผิวและการตัดให้เป็นขนาดที่ต้องการ
พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง ?
ขั้นตอนการผลิตกระดาษ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การทำเยื่อกระดาษ (Pulping)
วัตถุประสงค์เพื่อต้องการแยกเส้นใยโดยการปอกเปลือกไม้ และแปลงเป็นชิ้นไม้สับ วัตถุดิบหลักอย่าง “เยื่อกระดาษ”ขาดไม่ได้เลยนำไม้มาตัดเป็นท่อน ๆ ลอกเปลือกไม้ออก( พบได้ในต้นไม้มีอายุประมาณ 3-5 ปี ) ทำความสะอาด แล้วสับเป็นชิ้นเล็กๆ โดยสามารถแบ่งการทำเยื่อกระดาษได้ 4 ประเภท ดังนี้
- เยื่อกระดาษเชิงกลหรือเยื่อบด (Mechanical Pulp)
เยื่อบดที่ได้จากการนำชิ้นไม้ไปบดด้วยหินหรือจานบด ลักษณะของเยื่อที่ได้จะหยาบ ขนาดสั้นและขาดเป็นท่อนๆ นำมาทำกระดาษแล้วจะฉีกขาดง่าย ไม่แข็งแรง มีลิกนินคงเหลืออยู่ทำให้กระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อได้รับแสง กระดาษดูเก่าเร็ว ราคาถูก มีความทึบสูง และดูดซับความชื้นได้ดีมาก ใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์
- เยื่อกระดาษเคมี (Chemical Pulp)
เป็นการใช้สารเคมีเข้ามาร่วมกับความร้อนเวัตถุประสงค์เพื่อแยก กำจัด “ลิกนิน” ออกจากเยื่อกระดาษ (นำชิ้นไม้ไปต้มในหม้อแยกสาร (Digester) ร่วมกับสารเคมี) ให้ผลผลิตน้อย วิธีการนี้ทำให้กระดาษเก่าช้าและไม่เหลืองง่าย ราคากระดาษสูง สามารถเรียกเยื่อได้ตามสารเคมีที่ใช้ เช่น เยื่อซัลเฟต ได้มาจากสารซัลเฟต มีลักษณะเหนียว สีคล้ำค่อนไปทางสีน้ำตาล ใช้ทำกระดาษคราฟท์(Kraft Paper)เยื่อซัลไฟต์ ได้จากสารซัลไฟต์เป็นส่วนผสม นิยมนำไปฟอกขาวเพื่อใช้ในการทำกระดาษจดบันทึก กระดาษแผ่นสีขาวแบบต่าง ๆ ที่เราใช้งานกันนั่นเอง แต่จะมีความเปราะบางกว่ากระดาษที่ผลิตจากเยื่อซัลเฟต
- เยื่อกระดาษกึ่งเคมี (Semi-chemical Pulp)
เป็นการผสมกระบวนของการทำแบบเชิงกลและเคมีเข้าด้วยกัน ให้ผลผลิตมากกว่าเยื่อเคมี คุณภาพดีกว่าเยื่อเชิงกล โดยขั้นตอนแรกนำไปต้มกับสารเคมี แต่จะใช้สารเคมีน้อยกว่า หลังจากต้มแล้วตามมาด้วยวิธีเชิงกลต่อ โดยการนำไม้ที่ต้มไปบดเพื่อแยกเส้นใยออก จะช่วยลดปริมาณของ “ลิกนิน” ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง กระดาษที่ได้จากกระบวนการนี้มักจะนำไปทำเป็นบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนมาก
- เยื่อกระดาษรีไซเคิล (Recycle Pulp)
ใช้กระดาษที่ผ่านการใช้งานมาแล้วนำมาเข้ากระบวนการผลิต นำกระดาษมาปั่นรวมกันแล้วแยกสิ่งแปลกปลอมออกจากกัน(หมึกหรือกาว) เยื่อกระดาษที่ได้ไม่สมบูรณ์ ยังมีสิ่งปนเปื้อนที่ขจัดออกไม่หมด เส้นใยสั้น ขาดง่าย มักจะนำกระดาษบริสุทธิ์เข้ามาผสมด้วย นิยมนำมาทำเป็นกล่องกระดาษ กระดาษชำระ
2. การเตรียมน้ำเยื่อ (Stock Preparation)
เป็นกระบวนการที่ทำให้เยื่อกระดาษกระจายตัวก่อนที่เยื่อกระดาษถูกนำไปแปรรูปเป็นกระดาษ โดยการนำเยื่อกระดาษไปบด เพื่อพัฒนาศักยภาพของเส้นใยให้ยึดเกาะกันได้ดีขึ้น จากนั้นเติมส่วนผสมต่างๆ ตามประเภทที่ต้องการผลิต อาจมีการนำเยื่อไม้มากกว่า 1 ชนิดเข้ามาผสมเพื่อลดต้นทุนและเพื่อให้เหมาะสำหรับการนำไปใช้งาน
3. การทำให้เป็นแผ่นกระดาษ (Papermaking)
นำน้ำเยื่อที่ได้(อยู่ในถังจ่ายน้ำเยื่อ)เทลงไปบนตระแกรง รองเยื่อกระดาษ น้ำเยื่อส่วนใหญ่จะเล็ดรอดออกไปได้ เหลือได้เนื้เยื่อที่เกาะตัวกันเป็นแพ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการรีดน้ำโดยมีการใช้ลูกกลิ้งขนาดใหญ่กดทับ อาศัยแรงกดของลุกกลิ้งช่วยในการประสานเนื้อเยื่อให้ติดกัน ทำให้เยื่อกระดาษติดเป็นแผ่นไปในคราวเดียวกัน ทำการซับน้ำด้วยเครื่องอีกรอบ หลังจากนั้นจะถูกนำเข้าเครื่องอบประมาณ 5-7 นาที เพื่อทำให้เยื่อกระดาษคงเหลือน้ำเอาไว้ประมาณ 4-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักกระดาษทั้งหมด
4. การตกแต่งผิวและการตัดให้เป็นขนาดที่ต้องการ (Finishing)
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการอบแห้งเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำไปตกแต่ง อาทิ เช่น การผิวขัดผิวกระดาษให้เรียบลื่น เคลือบผิวกระดาษให้เรียบเงาหรือเคลือด้าน จากนั้นจะทำการเก็บด้วยการม้วนไว้ที่โกดัง รอการจำหน่ายโดยวิธีการจำหน่ายคืนำม้วนกระดาษออกมาตัดแบ่งให้ได้ตามขนาดที่ต้องการ แบ่งเป็นม้วนเล็กๆ หรือตัดเป็นแผ่นแล้วห่อเป็นรีม รีมละ 500 แผ่น
พอจะทราบกันไปคร่าวๆแล้วว่ากว่าจะได้กระดาษสักแผ่นมาให้เราใช้งานได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องผ่านกระบวนการมากมาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ต้นไม้ที่มาใช้ทำการผลิตกระดาษ หวังว่าโลกของเราจะเล็งเห็น “คุณค่า” ของกระดาษมากขึ้น ใช้อย่างรู้คุณค่า เพื่อที่เราจะได้มีกระดาษใช้ได้ต่อๆไป หากสนใจสินค้าของโรงงานหรือต้องการคำแนะนำสามารถสอบถามกันเข้ามาได้ค่ะ